วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่6

พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
พัฒนาการ
การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล
ทำให้สามรถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้านหรือทุกด้าน
พัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าด้วยก็ได้

ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
ปัจจัยด้านชีววิทยา
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด

ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังการคลอด

สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิดมักจะมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วม เช่น หูหนวก ตาปอด
การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
อาการของเด็กที่มีวามบกพร่องทางพัฒนาการ
มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน

การติดเชื้อ
การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ จะมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระลอก
นอกจานี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ

ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอริซึม
โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ ไทยรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ ไทยรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ

ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด
การเกิดก่อนก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย และภาวะขาดออกซิเจน

สารเคมี
ตะกั่วเป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็ก และมีการศึกษามากที่สุด
มีอาการซึมเศร้า เคลื่อนไหวช้า ผิวดำหมองคล้ำเป็นจุดๆ
ภาวะตับเป็นพิษ
ระดับสติปัญญาต่ำ

แอลกอฮอล์                                                                              
น้ำหนักแรกเกิดน้อย
มีอัตราการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก
พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง
เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์

Fetal alcohol syndrome, FAS
ช่องตาสั้น
ริมฝีปากบนยาวและบาง
หนังคลุมหัวตามาก
จมูกแบน
ปลายจมูกเชิดขึ้น

นิโคติน
น้ำหนักแรกเกิดน้อย ขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์
เพิ่มอัตราการตายในวัยทารก
สติปัญญาบกพร่อง
สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว มีปัญหาด้านการเข้าสังคม

การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
อาการของเด็กที่มีวามบกพร่องทางพัฒนาการ
มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
1. การซักประวัติ
กล่าวโดยสรุปเมื่อซักประวัติแล้วจะทำให้สามารถบอกได้ว่า
          1. ลักษณะพัฒนาการล่าช้าดังกล่าวเป็นแบบคงที่ (static) หรือถดถอย 
          2. เด็กมีระดับพัฒนาการช้าจริงหรือไม่ อย่างไร อยู่ในระดับไหน
          3. มีข้อบ่งชี้ว่าจะมีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่
          4. สาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร
          5. ขณะนี้เด็กได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูอย่างไร
2. การตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายที่สำคัญและอาจสัมพันธ์กับความบกพร่องทางพัฒนาการ ได้แก่
          2.1 ตรวจร่างกายทั่วๆไปทุกระบบ และการเจริญเติบโตที่อาจบ่งชี้สาเหตุที่ทำให้เด็กมีความบกพร่องทางพัฒนาการได้ เช่น ตรวจดูลักษณะผิดรูปของรูปร่างหน้าตา 
          2.2  ภาวะตับม้ามโต  ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะ inborn error บางชนิด
          2.3 ผิวหนัง เช่น cutaneous markers ได้แก่ café-au-lait spots บ่งถึง tuberous sclerosis ซึ่งเป็นสาเหตุของพัฒนาการล่าช้าได้
          2.4 ระบบประสาทต่างๆ โดยละเอียดและวัดรอบศีรษะด้วยเสมอเพื่อที่จะสามารถตรวจพบเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการที่มีความรุนแรงไม่มากนัก
          2.5 ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม (child abuse) เพราะเด็กพิเศษถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงอย่างหนึ่ง
          2.6 ระบบการมองเห็นและการได้ยินเพราะเป็นความพิการซ้ำซ้อนที่พบร่วมได้บ่อย
3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
          3.1 การตรวจทางห้องปฏิบัติการพันธุกรรม 
          3.2 การตรวจรังสีทางระบบประสาท 
          3.3 การตรวจทางเมตาบอลิก
4. การประเมินพัฒนาการ
         4.1 การประเมินแบบไม่เป็นทางการ
         4.2 การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
         4.3 แบบทดสอบ Denver ll
         4.4 Gesell Drawing Test
         4.5 แบบประเมินพัฒนาเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด- 5 ปี
         4.6 สถาบันราชานุกูล
สะท้อนการเรียน
การประเมินพัฒนาการเด็กได้เหมาะสมตามวัยและได้นำความรู้ที่ได้รับในชั้นเรียนมาประยุกต์ใช้แล้วนำมาเป็นองค์ความรู้ต่อในรายวิชาอื่นต่อไปในอนาคต
รู้วิธีการแก้พฤติกรรมหรือกลุ่มอาการความผิดปกติในเด็กได้ทันท่วงทีและนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้ได้เหมาะสมกับกลุ่มอาการ


สัปดาห์ที่5

ไม่มีการเรียนการหยุด
      
                       เนื่องจาก เป็นวันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติเกิดขึ้นได้อย่างไร

      วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น วันพ่อแห่งชาติด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ

         ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี วันพ่อแห่งชาติ
วัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ

1.       เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2.       เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม

3.       เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ

4.       เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน 
                                                             ดอกไม้ประจำวันพ่อ
                 ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ “พุทธรักษา” ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว
 
     คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย




สัปดาห์ที่4

บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์



บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์   หมายถึง   บุคคลที่มีอารมณ์และพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นที่ยอมรับทางสังคมส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กและผู้อื่น เป็นผลมาจากความขัดแย้งของเด็กกับสภาพแวดล้อม หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตัวเด็กเองขาดสัมพันธภาพกับเพื่อนหรือผู้อื่น ความเก็บกดทางอารมณ์จะแสดงออกทางร่างกาย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
                - กลุ่มความประพฤติผิดปกติ มีลักษณะก้าวร้าว ทำร้ายผู้อื่น ต่อต้าน เสียงดัง พูดหยาบคาย
                - กลุ่มบุคคลผิดปกติ ชอบเก็บตัว ขาดความมั่นใจ กัดเล็บ เงียบเฉย ไม่พูด มองโลกในแง่ร้าย
                - กลุ่มขาดวุฒิภาวะ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับวัย สมาธิ ไม่สนใจสิ่งรอบตัว งุ่มง่าม เฉื่อยชา สกปรก ขาดความรับผิดชอบ
                - กลุ่มที่มีปัญหาทางสังคม ชอบหนีโรงเรียน หนีออกจากบ้าน คบเพื่อนไม่ดี ต่อต้านผู้มีอำนาจ ชอบเที่ยวกลางคืน
                เกณฑ์การตัดสินเป็นเด็กที่แสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะได้รับบริการแนะแนวและบริการให้คำปรึกษาแล้วก็ตามก็ยังมีปัญหาทางอารมณ์อยู่ในลักษณะเดิม
                การประเมินผลทางจิตวิทยาและการสังเกตอย่างมีระบบ ระบุว่าเด็กมีปัญหาในทางพฤติกรรมมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานมีพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนของตน การอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์ พัฒนาการทาสังคม พัฒนาการทางภาษาและการควบคุมพฤติกรรมของตนเองมีหลักฐานอื่นยืนยันว่าปัญหาของนักเรียนมิได้เกิดจากความบกพร่องทางร่างกาย การรับรู้และสติปัญญา

ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม                                              

                 - ก้าวร้าว ก่อกวน
                - การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
                - การปรับตัวทางสังคม เช่น  แก๊งอันธพาล  การหนีโรงเรียน
                - การทำลายสาธารณสมบัติ
                - การลักขโมย การประทุษร้ายทางเพศ
เทคนิคการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
                - กำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบตลอดจนกิจวัตรประจำวันในห้องเรียนให้เป็นระบบให้ชัดเจน ซึ่งควรมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการทำงาน
                - ครูกำหนดกฎ ระเบียบของห้องเรียน ควรกระทำตอนต้นภาคเรียนและชี้แจงให้นักเรียนทุกคนเข้าใจตรงกันและปฏิบัติตาม
                - ถ้ามีนักเรียนบางคนไม่เข้าใจกฎ ระเบียบ ให้ครูเลือกเด็กคนใดคนหนึ่งเป็นแบบอย่างให้นักเรียนที่ไม่เข้าใจปฏิบัติตามแบบอย่างจนกว่าเด็กจะเข้าใจ
                - ครูคอยตรวจสอบว่านักเรียนปฏิบัติตามกฎ ระเบียบหรือไม่และให้แรงเสริมทางบวก เมื่อนักเรียนปฏิบัติตามกฎหากนักเรียนทำแบบฝึกหัดหรือทำการบ้านไม่ได้ ครูอาจเลือกใช้วิธีอื่น
                - ถ้านักเรียนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือใช้คำพูดไม่เหมาะสมกับครูหรือเพื่อน ครูควรวิเคราะห์พฤติกรรมของเด็กก่อนแล้วจึงพิจารณาดำเนินการต่อไป
                - ถ้านักเรียนทะเลาะวิวาทหรือชกต่อยกัน ครูจะต้องจับเด็กแยกออกจากกันทันที หลังจากนั้นครูอาจให้นักเรียนศึกษาแบบอย่างพฤติกรรมที่ถูกต้องจากเด็กอื่นๆแล้วให้ปฏิบัติตามแบบอย่างนั้นๆ
                - ถ้าเด็กปรับตัวในทางถดถอย ชอบอยู่คนเดียว ไม่ร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ครูอาจสั่งให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมหรือส่งเด็กไปให้ครูแนะแนวหรืออาจให้เพื่อนนักเรียนในห้องเดียวกันเขียนส่วนดีของเด็กคนนั้นลงในกระดาษ แล้วให้นักเรียนอ่านข้อความนั้นให้นักเรียนทั้งห้องฟังเพื่อให้เด็กรู้สึกชื่นชมตนเองและมีแรงในภายในที่จะพัฒนาตนเองต่อไป
                - ครูควรนำวิธีปรับพฤติกรรมมาใช้อย่างเป็นระบบ

                เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และกำลังได้รับความสนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่
                1. เด็กสมาธิสั้น
                2. เด็กออทิสติก

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่3

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
              
 1. ซีรีบรัล พัลซี (Cerebral Palsy) หรือกลุ่มสมองพิการ  เป็นสภาวะความผิดปกติของ  ท่าทางและการเคลื่อนไหว     ซึ่งเกิดจากพยาธิสภาพในสมอง   ในช่วงที่สมองกำลังเจริญเติบโตภายใน 8 ปีแรก   แต่ถ้าเด็กมีความพิการทางสมองหลังช่วงอายุนี้  จะไม่เรียกว่า  Cerebral Palsyเด็กจะมีความผิดปกติของทางการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อปาก   แก้ม   ลิ้น   ใบหน้า  แขน  ขามีการพัฒนาของปฏิกริยาตอบสนองต่างๆ    ของร่างกายผิดปกติไม่เป็นตามวัย    และมีปฏิกริยา  ตอบสนอนต่อการกระตุ้น  เอ็นหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ  ทำให้มีกล้ามเนื้อหดสั้น  และดึงให้ข้ออยู่ ในลักษณะงอหรือผิดรูป  แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้  2 กลุ่ม  คือ

 1.1 กลุ่มเกร็ง (Spastic) เด็กมีกล้ามเนื้อเกร็ง  เคลื่อนไหวได้ช้า  ขาอาจมีอาการมากกว่าแขน  หรือมีความผิดปกติครึ่งซีก  หรือผิดปกติทั้งตัว  ทำให้ควบคุม  กล้ามเนื้อ คอ ลำตัว และแขน ขาไม่ได้
  1.2  กลุ่มเคลื่อนไหวผิดปกติ (Dystonia) เด็กไม่สามารถควบคุมให้อยู่นิ่งๆ ได้  จะมีการแสดงสีหน้า  คอบิด  แขนงอ  หรือเหยียดเปะปะ  ทั้งพูดลำบาก กลืนลำบาก  อาจมีการกระตุกอย่างรวดเร็ว  คล้ายอาการขว้างลูกบอล

  เด็กสมองพิการ (Cerebral Palsy) มักมีปัญหาทางสายตา  หรือการได้ยินร่วมด้วย และ
  อาจมีปัญหาในการสื่อความหมาย   เด็กจำนวนหนึ่งอาจมีระดับสติปัญญาตํ่า

    2. กลุ่มที่มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง 
       กลุ่มแรก  ได้แก่   กลุ่มที่มีความผิดปกติระหว่าง   การพัฒนาร่างกายในครรภ์
       กระดูกสันหลังที่ห่อหุ้มไขสันหลังไม่เชื่อมติดกัน   ทำให้มีการดึงรั้งของประสาท
       ไขสันหลัง  บางครั้งมีนํ้าในสมองเพิ่มด้วย  เด็กจะมีอาการขาอ่อนแรง ไม่มีความ
        รู้สึก  และควบคุมการขับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ได้
        กลุ่มที่ 2 เกิดภายหลังจากอุบัติเหตุต่อกระดูกสันหลัง และไขสันหลัง  ได้แก่
        อุบัติเหตุทางรถยนต์  ถูกยิง  ถูกแทง  ตกจากที่สูง  หรือการติดเชื้อในไขสันหลัง
        หรือการติดเชื้อในไขสันหลัง   ความรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับที่ได้รับบาดเจ็บ  ถ้า
         เกิดในระดับที่สูงมาก    ก็จะมีอาการอัมพาตของแขน และลำตัวร่วมด้วย  การที่
         กล้ามเนื้อลำตัวอ่อนแรง ก็จะทำให้กระดูกสันหลังคด และกล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาต
         มักมีอาการเกร็ง กระตุก  เด็กทั้ง 2 กลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ และ
         การสูญเสียหน้าที่การทำงานของไต ทำให้ไตวายได้
       3. กลุ่มแขนขาขาด  อาจเป็นแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ หรือเป็นมะเร็งของกระดูก
  ทำให้สูญเสียแขนขาภายหลัง
       4. โรคโปลิโอ  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอที่ไขสันหลังทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  เป็นอัมพาต    โดยประสาทรับความรู้สึกยังเป็นปกติ   อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง   เกิดขึ้นกระจัด
  กระจายไม่เป็นเฉพาะแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง  อาจมีกล้ามเนื้อลำตัวเป็นอัมพาตด้วย กล้ามเนื้อที่
  อ่อนแรงจะถูกกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าดึงให้ข้อผิดรูป  ทำให้มีกระดูกสันหลังคด  ขาโก่ง  เท้าบิด
  แขนขายาวไม่เท่ากัน  เป็นต้น
       5. ความพิการอื่นๆ ได้แก่ โรคทางพันธุกรรม ข้ออักเสบ ข้อติดยึด กระดูกสันหลังฝ่อ 
  กล้ามเนื้อพิการ โรคกระดูกเปราะบาง  เป็นต้น

    เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
                


ความบกพร่องทางการพูด หมายถึง ความผิดปกติที่เกิดจากการพูดในด้านของความชัดเจนในการเปล่งเสียงและการใช้เสียงไม่สามารถ ทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้









ความบกพร่องทางภาษา หมายถึง ความบกพร่องในการรับรู้หรือการแปลความหมายของการพูด








พัฒนาการทางภาษา คือ การที่เด็กสามารถพูดได้ต้องการเกิดจากการเรียนรู้ ความเข้าใจภาษาที่ผู้อื่นพูด การเรียนรู้คำศัพท์ การสร้าง ประโยค การออกเสียง









พัฒนาการทางการพูด คือ ขบวนการพัฒนาเสียงพูดจากเสียงที่ไม่มีความหมายไม่ชัดเจนเป็นเสียงที่ชัดเจน และแบ่งเป็นคำที่มีความหมายเป็นขั้น




     1. ขั้นส่งเสียงร้อง




     2. ขั้นส่งเสียงอ้อแอ้




     3. ขั้นเลียนเสียงตนเอง




     4. ขั้นเลียนเสียงผู้อื่น




     5. ขั้นคำพูด














สาเหตุของพัฒนาการทางภาษาและการพูดผิดปกติ









     1. ประสาทหูพิการทั้งสองข้าง




     2. สติปัญญาต่ำ




     3. สภาวะอารมณ์และจิตใจผิดปกติ




     4. สมองผิดปกติ




     5. ขาดการกระตุ้นทางภาษาและการพูดที่เหมาะสม














ประเภทความผิดปกติทางการพูด









     1. การพูดช้า




     2. การพูดไม่ชัด




     3. ปากแหว่งเพดานโหว่




     4. พูดติดอ่าง




     5. เสียงผิดปกติ




     6. อะฟาเซีย














สาเหตุของความผิดปกติทางภาษา









     1. ระบบประสาทส่วนกลาง ความผิดปกติทางภาษา สติปัญญาต่ำ การบาดเจ็บทางสมอง




     2. สาเหตุภายนอก ความบกพร่องทางการได้ยิน ทางการมองเห็น ทางร่างกาย




     3. สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมและอารมณ์ การถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้าย ปัญหาจากการพัฒนาการทางพฤติกรรมและอารมณ์














ประเภทความผิดปกติทางภาษา








     1. ไม่มีภาษาพูด




     2. ความแตกต่างในคุณภาพของภาษา




     3. การเริ่มภาษาช้า




     4. การหยุดชะงักของภาษา












การแก้ไขเบื้องต้นสำหรับเด็กที่มีความผิดปกติทางการพูด








 1. การยอมรับ




     2. การวิเคราะห์ปัญหา




     3. การแก้ไขเสียงที่เป็นปัญหา




     4. การฝึก