วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่3

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
              
 1. ซีรีบรัล พัลซี (Cerebral Palsy) หรือกลุ่มสมองพิการ  เป็นสภาวะความผิดปกติของ  ท่าทางและการเคลื่อนไหว     ซึ่งเกิดจากพยาธิสภาพในสมอง   ในช่วงที่สมองกำลังเจริญเติบโตภายใน 8 ปีแรก   แต่ถ้าเด็กมีความพิการทางสมองหลังช่วงอายุนี้  จะไม่เรียกว่า  Cerebral Palsyเด็กจะมีความผิดปกติของทางการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อปาก   แก้ม   ลิ้น   ใบหน้า  แขน  ขามีการพัฒนาของปฏิกริยาตอบสนองต่างๆ    ของร่างกายผิดปกติไม่เป็นตามวัย    และมีปฏิกริยา  ตอบสนอนต่อการกระตุ้น  เอ็นหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ  ทำให้มีกล้ามเนื้อหดสั้น  และดึงให้ข้ออยู่ ในลักษณะงอหรือผิดรูป  แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้  2 กลุ่ม  คือ

 1.1 กลุ่มเกร็ง (Spastic) เด็กมีกล้ามเนื้อเกร็ง  เคลื่อนไหวได้ช้า  ขาอาจมีอาการมากกว่าแขน  หรือมีความผิดปกติครึ่งซีก  หรือผิดปกติทั้งตัว  ทำให้ควบคุม  กล้ามเนื้อ คอ ลำตัว และแขน ขาไม่ได้
  1.2  กลุ่มเคลื่อนไหวผิดปกติ (Dystonia) เด็กไม่สามารถควบคุมให้อยู่นิ่งๆ ได้  จะมีการแสดงสีหน้า  คอบิด  แขนงอ  หรือเหยียดเปะปะ  ทั้งพูดลำบาก กลืนลำบาก  อาจมีการกระตุกอย่างรวดเร็ว  คล้ายอาการขว้างลูกบอล

  เด็กสมองพิการ (Cerebral Palsy) มักมีปัญหาทางสายตา  หรือการได้ยินร่วมด้วย และ
  อาจมีปัญหาในการสื่อความหมาย   เด็กจำนวนหนึ่งอาจมีระดับสติปัญญาตํ่า

    2. กลุ่มที่มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง 
       กลุ่มแรก  ได้แก่   กลุ่มที่มีความผิดปกติระหว่าง   การพัฒนาร่างกายในครรภ์
       กระดูกสันหลังที่ห่อหุ้มไขสันหลังไม่เชื่อมติดกัน   ทำให้มีการดึงรั้งของประสาท
       ไขสันหลัง  บางครั้งมีนํ้าในสมองเพิ่มด้วย  เด็กจะมีอาการขาอ่อนแรง ไม่มีความ
        รู้สึก  และควบคุมการขับถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ได้
        กลุ่มที่ 2 เกิดภายหลังจากอุบัติเหตุต่อกระดูกสันหลัง และไขสันหลัง  ได้แก่
        อุบัติเหตุทางรถยนต์  ถูกยิง  ถูกแทง  ตกจากที่สูง  หรือการติดเชื้อในไขสันหลัง
        หรือการติดเชื้อในไขสันหลัง   ความรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับที่ได้รับบาดเจ็บ  ถ้า
         เกิดในระดับที่สูงมาก    ก็จะมีอาการอัมพาตของแขน และลำตัวร่วมด้วย  การที่
         กล้ามเนื้อลำตัวอ่อนแรง ก็จะทำให้กระดูกสันหลังคด และกล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาต
         มักมีอาการเกร็ง กระตุก  เด็กทั้ง 2 กลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ และ
         การสูญเสียหน้าที่การทำงานของไต ทำให้ไตวายได้
       3. กลุ่มแขนขาขาด  อาจเป็นแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ หรือเป็นมะเร็งของกระดูก
  ทำให้สูญเสียแขนขาภายหลัง
       4. โรคโปลิโอ  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอที่ไขสันหลังทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  เป็นอัมพาต    โดยประสาทรับความรู้สึกยังเป็นปกติ   อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง   เกิดขึ้นกระจัด
  กระจายไม่เป็นเฉพาะแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง  อาจมีกล้ามเนื้อลำตัวเป็นอัมพาตด้วย กล้ามเนื้อที่
  อ่อนแรงจะถูกกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าดึงให้ข้อผิดรูป  ทำให้มีกระดูกสันหลังคด  ขาโก่ง  เท้าบิด
  แขนขายาวไม่เท่ากัน  เป็นต้น
       5. ความพิการอื่นๆ ได้แก่ โรคทางพันธุกรรม ข้ออักเสบ ข้อติดยึด กระดูกสันหลังฝ่อ 
  กล้ามเนื้อพิการ โรคกระดูกเปราะบาง  เป็นต้น

    เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
                


ความบกพร่องทางการพูด หมายถึง ความผิดปกติที่เกิดจากการพูดในด้านของความชัดเจนในการเปล่งเสียงและการใช้เสียงไม่สามารถ ทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้









ความบกพร่องทางภาษา หมายถึง ความบกพร่องในการรับรู้หรือการแปลความหมายของการพูด








พัฒนาการทางภาษา คือ การที่เด็กสามารถพูดได้ต้องการเกิดจากการเรียนรู้ ความเข้าใจภาษาที่ผู้อื่นพูด การเรียนรู้คำศัพท์ การสร้าง ประโยค การออกเสียง









พัฒนาการทางการพูด คือ ขบวนการพัฒนาเสียงพูดจากเสียงที่ไม่มีความหมายไม่ชัดเจนเป็นเสียงที่ชัดเจน และแบ่งเป็นคำที่มีความหมายเป็นขั้น




     1. ขั้นส่งเสียงร้อง




     2. ขั้นส่งเสียงอ้อแอ้




     3. ขั้นเลียนเสียงตนเอง




     4. ขั้นเลียนเสียงผู้อื่น




     5. ขั้นคำพูด














สาเหตุของพัฒนาการทางภาษาและการพูดผิดปกติ









     1. ประสาทหูพิการทั้งสองข้าง




     2. สติปัญญาต่ำ




     3. สภาวะอารมณ์และจิตใจผิดปกติ




     4. สมองผิดปกติ




     5. ขาดการกระตุ้นทางภาษาและการพูดที่เหมาะสม














ประเภทความผิดปกติทางการพูด









     1. การพูดช้า




     2. การพูดไม่ชัด




     3. ปากแหว่งเพดานโหว่




     4. พูดติดอ่าง




     5. เสียงผิดปกติ




     6. อะฟาเซีย














สาเหตุของความผิดปกติทางภาษา









     1. ระบบประสาทส่วนกลาง ความผิดปกติทางภาษา สติปัญญาต่ำ การบาดเจ็บทางสมอง




     2. สาเหตุภายนอก ความบกพร่องทางการได้ยิน ทางการมองเห็น ทางร่างกาย




     3. สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมและอารมณ์ การถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้าย ปัญหาจากการพัฒนาการทางพฤติกรรมและอารมณ์














ประเภทความผิดปกติทางภาษา








     1. ไม่มีภาษาพูด




     2. ความแตกต่างในคุณภาพของภาษา




     3. การเริ่มภาษาช้า




     4. การหยุดชะงักของภาษา












การแก้ไขเบื้องต้นสำหรับเด็กที่มีความผิดปกติทางการพูด








 1. การยอมรับ




     2. การวิเคราะห์ปัญหา




     3. การแก้ไขเสียงที่เป็นปัญหา




     4. การฝึก











สัปดาห์ที่2

เด็กที่มีความต้องการพิเศษ





1. ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า เด็กพิการ ดังนั้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงหมายถึง ผู้ที่มีความผิดปกติ ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือ ผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพอาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกายหรือการสูญเสียสมรรถภาพเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการดำ เนินชีวิตของเขาทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ดีเท่ากับคนปกติ แต่หากมีการ แก้ไขอวัยวะที่บกพร่องไปให้สามารถให้งานได้ดังเดิมแล้ว สภาพความบกพร่อง อาจหมดไป
2. ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึงเด็กที่มี ความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการคือศึกษาให้ ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตรกระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
องค์กรอนามัยโลก(WHO) แบ่งเด็กที่มีความต้องการพิเศษออก ดังนี้
1. แบ่งตามความบกพร่อง (Clssification of Impairment)
1.1 บกพร่องทางสติปัญญาหรือความทรงจำ (Intellegence or Memory Impairment) ปัญญาอ่อนเสียความทรงจำ ลืมเหตุการร์ที่ผ่านมาและปัจจุบัน
1.2 บกพร่องทางจิตอื่นๆ (Other Psychological Impairment) บกพร่องทางสติสัมปชัญญะหย่อนความสำนึก บพร่องทางความสนใจหรือการเข้าใจ นอนไม่หลับ
1.3 บกพร่องทางภาษาหรือการสื่อความหมาย (Language or Communication Impirment) พูดไม่ได้ พูดไม่ชัด ไม่สามารถแสดงการติดต่อกับคนอื่นได้
1.4 บกพร่องทางการได้ยิน (Aural Impairment) หูตึง ได้ยินไม่ชัดเจนทั้งสองข้าง ได้ยินข้างหนึ่งและหนวกอีกข้างหนึ่ง
1.5 บกพร่องทางการมองเห็น (Ocular Impairment) เห็นไม่ชัดเจนทั้งสองข้าง บอดข้างหนึ่งเห็นเลือนลางข้างหนึ่ง
1.6 บกพร่องทางโครงกระดูก (Visceral Impairment) บกพร่องทางระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิต บกพร่องทางระบบการย่อยอาหาร การขับถ่าย
1.7 บกพร่องทางโครงกระดูก (Skeletal Impairment) กระโหลกศรีษะ หัว ตัว แขน ขาไม่เป็นปกติ
1.8 บกพร่องทางแระสาทสัมผัส (Semsory Impairment) เสียความรู้สึกร้อน หนาว ความรู้ศึกลดน้อยกว่าปกติ สูญเสียความรู้สึกสัมผัส เจ็บ
1.9 อื่นๆ

 กลุ่กเด็กที่มีความบกพร่อง ด้วยความสามารถ กลุ่มนี้จำแนกได้ 8 ประเภทคือ

1.             เด็กที่มีบกพร่องทางสติปัญญา
2.             เด็กที่มีบกพร่องทางการได้ยิน
3.             เด็กที่มีบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
4.             เด็กที่มีบกพร่องทางการพูดและภาษา
5.             เด็กที่มีพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
6.             เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
7.             เด็กทีมีปัญหาทางออทสติก
8.             เด็กที่มีบกพร่องทางการเห็น

 

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัปดาห์ที่1

การเรียน

- อาจารย์แจกคำอธิบายรายวิชา และบอกข้อตกลงในการเข้าชั้นเรียน
- และให้นักศึกษาทำ Mind map เกี่ยวกับเด็กพิเศษ ตามที่เราได้รู้มา


เด็กพิเศษ

          ความหมาย

          เด็กที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างจากเด็กทั่วไปซึ่งมีประเภทแตกต่ากันตามสภาพความบกพร่อง

           เด็กที่่มีความบกพร่อง

1)            การเรียนรู้ช้า

2)            สมาธิสั้น

3)            สมองพิการ

4)            ออทิสติก

5)            ดาวซินโดรม

            การดูแลปฎิบัติกับเด็กพิเศษ

         ควรดูแลอย่างใกล้ชิดและปฎิบัติอย่างถูกวิธีอาจจะใช้เวลานาน ตามสภาพของความบกพร่อง

           การช่วยเหลือ

        เป็นกลุ่มเด็กที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟูและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสม

การบ้าน
   ให้นักศึกษาหางานวิจัยเกี่ยวกับเด็กพิเศษ